บทความวิชาการ ล้างป่าช้ากระดาษ! ถอดรหัสรัฐบาลดิจิทัลไทย:  ปฏิวัติ “No Copy” สู่การบริการที่ไร้รอยต่อ

อาจารย์ อนันต์ มณีรัตน์

    หัวหน้าสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์

          คณะรัฐประศาสนศาสตร์ วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม

  ในยุคที่ทุกอย่างขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ไม่ใช่เอกสาร ก้าวสำคัญที่สุดของรัฐบาลดิจิทัลไทยคือการเปลี่ยนผ่านสู่การเป็น Paperless Government อย่างสมบูรณ์ ภารกิจ “ล้างป่าช้ากระดาษ” นี้ถูกขับเคลื่อนด้วยหลักการสำคัญที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง นั่นคือ “No Copy” ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การลดสำเนาเอกสาร แต่เป็นการปฏิวัติกระบวนการคิดและวิธีการทำงานของภาครัฐทั้งหมด

“No Copy”: จุดเปลี่ยนจากเอกสารสู่การบูรณาการข้อมูล

  คำว่า “No Copy” ในบริบทของภาครัฐไทย หมายถึง การสิ้นสุดยุคที่ประชาชนต้องรับภาระในการถ่ายสำเนาเอกสารราชการเพื่อยื่นต่อหน่วยงานซ้ำแล้วซ้ำเล่า การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นได้ด้วยการออก พระราชบัญญัติการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2565 ที่มอบอำนาจและวางรากฐานทางกฎหมายให้หน่วยงานภาครัฐสามารถเข้าถึงและใช้ข้อมูลดิจิทัลร่วมกันได้อย่างชอบธรรม

  หัวใจสำคัญคือการเชื่อมโยงข้อมูล (Data Integration) รัฐบาลได้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เพื่อให้ฐานข้อมูลหลักของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นทะเบียนราษฎร ทะเบียนนิติบุคคล หรือข้อมูลด้านภาษี ถูกเชื่อมโยงถึงกันทั้งหมดอย่างสมบูรณ์ การดำเนินการนี้เท่ากับเป็นการประกาศว่า ข้อมูลดิจิทัลที่อยู่ในระบบของรัฐมีความน่าเชื่อถือเทียบเท่าหรือสูงกว่าเอกสารที่เป็นกระดาษ ทำให้เมื่อหน่วยงานหนึ่งต้องการข้อมูลของประชาชน หน่วยงานนั้นสามารถดึงข้อมูลดิจิทัลจากหน่วยงานต้นทางได้ทันที โดยที่ประชาชนไม่ต้องเป็นคนกลางในการนำ “สำเนา” มายืนยันอีกต่อไป

ผลสัมฤทธิ์ที่เหนือกว่าการประหยัดกระดาษ

  การเปลี่ยนจากการใช้กระดาษมาเป็นการใช้ข้อมูลดิจิทัลโดยสมบูรณ์ ก่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ที่ลึกซึ้งและส่งผลกระทบในวงกว้างในหลายด้าน ได้แก่

  หนึ่ง ประสิทธิภาพและความเร็ว (Efficiency and Speed) การเข้าถึงข้อมูลดิจิทัลแบบเรียลไทม์ทำให้ขั้นตอนการพิจารณาอนุมัติหรือการให้บริการสั้นลงอย่างมหาศาล จากเดิมที่ต้องใช้เวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์ในการตรวจสอบเอกสารและส่งต่อ สามารถทำเสร็จได้ภายในไม่กี่นาที

  สอง ความถูกต้องแม่นยำ (Accuracy): การใช้ข้อมูลดิจิทัลจากแหล่งข้อมูลต้นทาง (Source of Truth) โดยตรง ช่วยลดความผิดพลาดที่เกิดจากการกรอกข้อมูลซ้ำซ้อน การปลอมแปลง หรือการคัดสำเนาที่ผิดพลาด ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจและบริการที่แม่นยำยิ่งขึ้น

  สาม ความโปร่งใสและตรวจสอบได้ (Transparency and Auditability) ทุกการเข้าถึงและการใช้ข้อมูลดิจิทัลจะถูกบันทึกร่องรอยไว้ในระบบ (Audit Trail) ทำให้สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ว่าใครเข้าถึงข้อมูลเมื่อใดและเพื่อวัตถุประสงค์ใด ซึ่งเป็นการยกระดับธรรมาภิบาลและความโปร่งใสในระบบราชการ และ

  สี่ การลดภาระประชาชนและต้นทุนของรัฐ: ประชาชนประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางและถ่ายเอกสาร ขณะที่ภาครัฐประหยัดต้นทุนในการจัดเก็บเอกสาร การใช้พื้นที่สำนักงาน และค่าบุคลากรในการจัดการเอกสารกองโต

  ดังเช่นในเอสโตเนีย (Estonia) ซึ่งได้สร้าง e-Residency เพื่อดึงดูดการลงทุนและธุรกิจเทคโนโลยีจากทั่วโลก รวมถึงมีระบบ X-Road ที่ให้ฐานข้อมูลทั้งภาครัฐและเอกชนสามารถเชื่อมต่อกันได้โดยสมบูรณ์ ทำให้ประชาชนไม่ต้องใช้เอกสารใด ๆ กับรัฐอีกต่อไป (Zero-Stops) รวมถึงในสิงคโปร์ (Singapore) ซึ่งได้พัฒนาระบบ LifeSG ที่จัดกลุ่มบริการตามเหตุการณ์สำคัญในชีวิตประชาชน เช่น การแต่งงาน การมีบุตร ทำให้การเข้าถึงบริการง่ายและตรงกับความต้องการจริง ไม่ต้องเสียเวลาค้นหาว่าต้องติดต่อกระทรวงใด ไทยต้องนำบทเรียนเหล่านี้มาปรับใช้ โดยการขยายขอบเขตการใช้ข้อมูลดิจิทัลให้ครอบคลุมการใช้งานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน และปรับการออกแบบบริการบน “ทางรัฐ” ให้ยึดโยงกับช่วงชีวิตของประชาชนมากขึ้น

เป้าหมายสูงสุด: รัฐบาลที่ทำงานเป็นหนึ่งเดียว

  การมุ่งเน้น Paperless และ No Copy ได้นำไปสู่เป้าหมายที่ใหญ่กว่า คือ การทำให้ทุกหน่วยงานต้องใช้ข้อมูลแบบดิจิทัลและเชื่อมโยงถึงกันทั้งหมดเป็นหลัก รัฐบาลดิจิทัลในอุดมคติ คือ ระบบที่หน่วยงานต่าง ๆ ทำงานเสมือนเป็นองค์กรเดียว (One Government) ที่ข้อมูลสามารถไหลเวียนระหว่างกันได้อย่างอิสระภายใต้กรอบการรักษาความปลอดภัย

  แพลตฟอร์มอย่าง “ทางรัฐ” ซึ่งเป็นช่องทางบริการรวมศูนย์ที่รวบรวมบริการมากกว่าร้อยรายการ เป็นเพียงส่วนหน้าบ้านที่ตอกย้ำความสำเร็จของการเชื่อมโยงข้อมูลหลังบ้าน (Backend Integration) เมื่อทุกหน่วยงานปฏิเสธการรับกระดาษและยอมรับการเชื่อมโยงข้อมูลดิจิทัลเท่านั้น จึงจะเกิดการบริการแบบ “Zero-Stops” อย่างแท้จริง โดยที่รัฐสามารถ “รู้” ข้อมูลที่จำเป็นในการให้บริการประชาชนได้โดยที่ประชาชนไม่ต้องแจ้งอีก

  การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การปรับเทคโนโลยี แต่คือการปรับวัฒนธรรมองค์กรของข้าราชการให้เป็น “ข้าราชการดิจิทัล” ที่เชื่อมั่นในพลังของข้อมูลและการทำงานร่วมกันข้ามหน่วยงาน การสิ้นสุดยุคกระดาษในภาครัฐไทยจึงเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นยุคใหม่แห่งความคล่องตัว ความโปร่งใส และการยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง

หมายเหตุ รูปภาพประกอบสร้างจาก Gemini AI

อ.อนันต์ มณีรัตน์

หัวหน้าสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์

[email protected]

แชร์บทความนี้

บทความที่เกี่ยวข้อง